Author Archives: thanapat.passed

7 วิธีป้องกันลูกจากการถูกลักพาตัว

7 วิธีป้องกันลูกจากการถูกลักพาตัว

7 วิธีป้องกันลูกจากการถูกลักพาตัว

ข่าวลักพาตัวเด็กยังมีให้เห็นเรื่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ประมาณ ดูแลเจ้าตัวเล็กกันอย่างใกล้ชิด วันนี้พาสมีวิธีรับมือกับภัยใกล้ตัวนี้มาฝากกันค่ะ

1. สอนลูกไม่ให้คุย หรือรับขนมจากคนแปลกหน้า แม้ว่าคนนั้นจะพูดจาดี น่าเชื่อถือก็ตาม บอกลูกว่า อย่าเพิ่งเชื่อหรือไว้ใจเด็ดขาด ควรแจ้งผู้ใหญ่ก่อนเสมอ

2. ซักซ้อมเล่นจำลองสถานการณ์ ว่าหากเกิดเหตุการณ์จริงลูกควรทำอย่างไร เช่น หลงทางในห้างสรรพสินค้าจะทำอย่างไร  อาจขอความช่วยเหลือจากพนักงานห้าง ไม่หลงเชื่อคนแปลกหน้าที่เข้ามาบอกว่าจะพาไปส่งที่บ้าน เป็นต้น

3. ไม่ควรปล่อยลูกอยู่คนเดียวที่บ้าน รวมถึงสถานที่ต่างๆ แม้ว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย เพราะอาจเกิดอันตรายจากมิจฉาชีพได้ จากผลสำรวจพบว่าสถานที่ที่เด็กถูกลักพาตัวมากที่สุดก็คือ ร้านเกม บริเวณบ้าน และห้างสรรพสินค้าตามลำดับ

4. ให้ลูกจดจำข้อมูลของคุณพ่อคุณแม่ อาจเขียนใส่กระดาษพกติดตัวลูกไว้ เช่น ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ และสอนให้ลูกบอกข้อมูลกับคนที่น่าไว้ใจได้เท่านั้นเมื่อหลงทาง เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจ

5. หลีกเลี่ยงให้ลูกเดินในที่เปลี่ยว แหล่งเสื่อมโทรมต่างๆ ขึ้นรถแท็กซี่ที่ติดฟิล์มสีเข้มกว่าปกติ รวมถึงสถานที่สาธารณะยามค่ำคืน

6. สอนให้ลูกวิ่งหนีและตะโกนขอความช่วยเหลือทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์การณ์ไม่น่าไว้ใจ เช่น “ช่วยหนูด้วย” “ช่วยผมด้วย”

7. สอนให้ลูกมีสติ กรณีที่เป็นเด็กโต ไม่ร้องไห้ ตกใจกลัว และรู้จักป้องกันตัวเบื้องต้นในยามฉุกเฉิน เช่น ขว้างสิ่งของใกล้มือใส่คนร้าย เบี่ยงเบนความสนใจ หรือโจมตีจุดที่อ่อนที่สุดของคนร้าย เช่น ดวงตา จากนั้นให้วิ่งหนีให้เร็วที่สุดเพื่อขอความช่วยเหลือ

 

อย่าไว้ใจนะป๋องแป๋ง

Activity Book ประกอบนิทานแสนสนุก เรียนรู้การดูแลป้องกันตนเองจากภัยถูกล่วงละเมิดทางเพศ สำหรับเด็กปฐมวัย สนุกกับกิจกรรมภายในเล่ม พร้อมสติ๊กเกอร์แสนน่ารัก เสริมทักษะ EF

ปิงปิงถูกหลอก

นิทานภาพคำกลอนเล่มนี้ สอนลูกให้รู้จักป้องกันตนเองจากคนแปลกหน้าที่ไม่หวังดี เช่น ลักพาตัว เรียกค่าไถ่ ล่วงละเมิดทางเพศ เป็นเรื่องจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน นิทานก่อนนอน หนังสือสำหรับเด็ก 0-6 ปี

7 วิธีดูแลลูกต้อนรับหน้าฝน

7 วิธีดูแลลูกต้อนรับหน้าฝน

ฝนตกเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง เด็กๆ มักเจ็บป่วยได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงการพาเด็กเข้าไปสถานที่แออัดอย่างห้างสรรพสินค้า ตลาดสด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย วิธีเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเข้าสู่หน้าฝนทำได้ง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

1. ให้ลูกสวมหมวกเวลาออกจากบ้าน พกร่มและเสื้อกันฝนติดตัวไว้ จะได้ไม่โดนละอองฝน หากเลี่ยงไม่ได้ กลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ำ สระผม และทำร่างกายให้อบอุ่น

2. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักใบเขียวและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอสุกเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคหวัด

3. ชวนลูกออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง และกระโดดเชือก

4. ระวังไม่ให้ลูกถูกยุงกัด เพราะในช่วงหน้าฝนยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกมักจะวางไข่

5. สวมเสื้อผ้าไม่อับชื้น ดูแลสุขอนามัย ล้างมือ ล้างเท้าให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ห่มผ้าหนาๆ และใส่ถุงเท้านอน เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น อาจใช้หอมแดงหั่นไว้ที่หัวเตียง ลูกจะได้หายใจโล่งและหลับสบาย

7. ถ้าลูกถูกละอองฝนควรให้กินยากันไว้ก่อน เพื่อป้องกันความเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้น เพราะละอองฝนจะมีเชื้อโรคและไวรัสติดลงมาด้วย สามารถกระจายเข้าในโพรงจมูกได้ง่าย



คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นดูแลร่างกายลูกรักช่วงเปลี่ยนผ่านหน้าร้อนเป็นหน้าฝน ซึ่งอากาศมักเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้เด็กๆ เจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะไข้หวัด ตัวร้อน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปีเพราะเด็กเล็กยังไม่มีภูมิต้านทานโรคที่สมบูรณ์

สามารถใช้หนังสือนิทานสอนลูกหรือเตรียมพร้อมรับหน้าฝน สั่งซื้อนิทาน ป๋องแป๋ง ชุดรักษ์สุขภาพ

6 ที่เที่ยวสุดเฟี้ยวต้อนรับปิดเทอม

6 ที่เที่ยวสุดเฟี้ยวต้อนรับปิดเทอม

ช่วงเวลาที่เด็กๆ รอคอยมาถึงแล้วค่ะ หลายคนเฝ้ารอช่วงเวลานี้เพราะจะได้เที่ยวและทำกิจกรรมสนุกๆ กับครอบครัว บางคนเข้าค่ายฝึกทักษะกีฬา ศิลปะ ภาษา ดนตรี ตามความสนใจ บางคนท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ วันนี้เรามีสถานที่เที่ยวที่เป็นแหล่งเรียนรู้แสนสนุกมาฝากเด็กๆ มีที่ไหนบ้างลองมาดูกันค่ะ

1. พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น  จ.พระนครศรีอยุธยา แหล่งสะสมของเล่นระดับโลกจำนวนมาก ทั้งของเล่นอายุนับร้อยๆ ปี ไปจนถึงของเล่นยุคปัจจุบัน ทั้งของไทยและต่างประเทศ  รวมถึงของเล่นสังกะสีจำนวนมากซึ่งถือเป็นยุคทองของการเล่น ภายในจัดแบ่งเป็น 2 ส่วน คือด้านนอกอาคาร ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจใต้ต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ มีร้านอาหารคอยบริการ และส่วนของอาคารพิพิธภัณฑ์หลังใหญ่ 2 ชั้น ชั้นล่างจัดแสดงของเล่นยุคเก่าทั้งตุ๊กตาดินเผา กระปุกออมสิน ข้าวของเครื่องใช้ยุคโบราณ ส่วนชั้นบนรวบรวมโมเดลการ์ตูนขนาดใหญ่อย่างอุลตร้าแมน  ซุปเปอร์แมน  สไปเดอร์แมน  และของเล่นสังกะสีหลากหลายรูปแบบ หากมาในวันหยุดจะได้พบกับกิจกรรมน่าสนใจสำหรับเด็กอย่างชั่วโมงนิทาน  ศิลปะ กิจกรรมสร้างสรรค์  ปลูกฝังความคิดและจินตนาการ  

2. พิพิธภัณฑ์เด็ก  กรุงเทพฯ  นอกอาคารมีทั้งเครื่องเล่นสนามให้ปีนป่าย  ภายในอาคารแบ่งเป็นโซนเด็กโตและเด็กเล็ก สนุกกับกิจกรรมหลากหลาย อาทิ ลานสร้างสรรค์เปิดโลกจินตนาการ  โซนวิทยาศาสตร์ค้นคว้าทดลอง  ห้องปรุงอาหารกับครัวไทยวัยจิ๋ว  โซนนักสืบไดโนเสาร์  ให้เด็กย้อนกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์  ในส่วนของเด็กเล็กมีกิจกรรมช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัส เช่น ฟังเสียงสิ่งมีชีวิต สนุกกับอาชีพในเมืองจำลองส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออกและเล่นบทบาทสมมุติ

3. พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย  จ.นครปฐม เมื่อเข้ามาภายในห้องจัดแสดง  เด็กจะได้พบกับหุ่นที่สร้างจากไฟเบอร์กลาสที่มีความคงทน ประณีต  งดงามเหมือนคนจริงๆ กว่า 120 ตัว เช่น ห้องพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ห้องพระอริยสงฆ์ ห้องบุคคลสำคัญของไทย ห้องการละเล่นของเด็กไทย อย่างรีรีข้าวสาร จ้ำจี้มะเขือเปราะ แมงมุมลาย ฯลฯ มาที่นี่นอกจากจะได้รับความรู้แล้วยังได้ชื่นชมฝีมือของคนไทยด้วยค่ะ


4. ลุยโคลนที่คลองโคน  จ.สมุทรสงคราม  หากครอบครัวไหนอยากท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติก็นับว่าที่นี่เหมาะมากค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาเด็กๆ นั่งเรือหางยาวชมนกนานาชนิด ชมพื้นที่ป่าชายเลน ดูต้นโกงกาง ต้นแสม ระหว่างทางจะได้เห็นเจ้าลิงแสมออกมาทักทาย ได้สัมผัสชีวิตชาวประมงอย่างใกล้ชิด ลองถือกระดานเลนหาหอยแครงด้วยตัวเอง ถ้าอยากปลูกป่าชายเลน ทางอบต.คลองโคนก็มีกล้าไม้และอุปกรณ์การปลูกเตรียมไว้ให้  สามารถพักค้างคืนแบบโฮมสเตย์ในราคาประหยัดอีกด้วย


5. ส่องสัตว์ที่เขาดิน สวนสัตว์ใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ บนพื้นที่กว่า 118 ไร่ รวบรวมสัตว์ป่าหายากและใกล้สูญพันธุ์นานาชนิด มีมุมนั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีเรือถีบให้พายเล่นนอกจากจะได้ดูสัตว์หลากหลายสายพันธุ์แล้ว จุดที่ไม่ควรพลาดคือ 7 สิ่งมหัศจรรย์ที่สวนสัตว์เขาดินภูมิใจนำเสนออย่างเก้งเผือก ละมั่งพันธุ์ไทย แพนด้าแดง ค่างห้าสี  หลุมหลบภัยสมัยสงครามโลก ต้นสักอายุร้อยกว่าปี และจุดชมวิวพระที่นั่งอนันตสมาคม ถ้าไม่อยากเดิน จะนั่งรถพ่วงเที่ยวชมก็จ่ายเพียงคนละ 20 บาทเท่านั้นค่ะ


6. ดูดาวที่ท้องฟ้าจำลอง สนุกกับเรื่องราวของดาราศาสตร์และจักรวาล แบ่งเป็น 2 โซน คือ ห้องฉายดาว ที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ โดยเพิ่มระบบแสง สี เสียงให้ดูตื่นเต้นเร้าใจ และส่วนนิทรรศการที่สัมพันธ์กับหมู่ดาว ภายนอกยังมีอาคารจัดแสดงปลาหลายสายพันธุ์  อาคารห้องสมุดของการศึกษานอกโรงเรียน  และส่วนจัดแสดงเรื่องภูมิศาสตร์และไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ อีกด้วย


การพาลูกเที่ยวตามแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ถือเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างหนึ่ง  เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ แล้วยังสร้างความผูกพันในครอบครัวอีกด้วย ปิดเทอมนี้อย่าลืมพาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยวกันนะคะ

5 วิธีป้องกันอาการท้องผูกลูกรัก

5 วิธีป้องกันอาการท้องผูกลูกรัก

5 วิธีป้องกันอาการท้องผูกของลูกรัก

อาการท้องผูกสำหรับเด็กๆ แม้จะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็อาจส่งผลถึงการใช้ชีวิตประจำวันได้  เด็กบางคนเวลาปวดท้อง รู้สึกอึดอัด อาจจะไม่มีสมาธิในการเรียน หงุดหงิด โมโห หน้าตาไม่สดชื่นแจ่มใส และเบื่ออาหาร ทางแก้ง่ายๆ ทำได้ดังนี้ค่ะ


1. รับประทานผัก ผลไม้ที่มีกากใยเยอะๆ ในผัก เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ถั่วงอก ผลไม้ เช่น มะละกอสุก กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล แก้วมังกร ธัญพืช เช่น ถั่วต่างๆ ข้าวกล้อง คุณพ่อคุณแม่อาจทำซุปผักหรือน้ำผลไม้สลับสับเปลี่ยนในมื้ออาหารเพื่อไม่ให้ลูกเบื่อก็ได้ เมื่อลูกได้รับใยอาหารเพียงพอก็จะขับถ่ายคล่องขึ้น


2. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่าย


3. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ควรเริ่มฝึกตั้งแต่ลูกอายุ 2 ขวบขึ้นไป พ่อแม่อย่าลืมสังเกตว่าลูกมีปัญหาหรือไม่ เช่น บางคนอุจจาระแข็ง บางคนชอบกลั้นอุจจาระ  หากลูกมีปัญหาเหล่านี้ให้หาสาเหตุ  แล้วลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น งดช็อกโกแลต  ขนม ชีส ฯลฯ


4. ออกกำลังกาย โดยให้ลูกนอนหงายแล้วยกขาปั่นจักรยานอากาศเพื่อช่วยให้ลำไส้ และระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น


5. พาลูกพบแพทย์ กรณีเป็นติดต่อกันนานๆ ไม่หายเสียที เพื่อสวนอุจจาระและหาทางแก้ปัญหา


เด็กที่มีอาการท้องผูกมากๆ จะรับประทานอาหารไม่ค่อยได้ ส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลง ไม่สบายตัว หน้าตาผิวพรรณไม่สดใส เพราะมีของเสียในร่างกายเยอะ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้  ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหาทางป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นเป็นการดีที่สุดค่ะ

 

ป๋องแป๋งอึไม่ออก

นิทานภาพคำกลอน ฝึกนิสัยลูกในการขับถ่าย รวมถึงการกินผักผลไม้ อาหารที่มีกากใย ดื่มน้ำให้เพียงพอ อุจจาระจะได้ไม่แข็งและถ่ายลำบาก

5 วิธีแก้ปัญหาลูกพูดติดอ่าง

5 วิธีแก้ปัญหาลูกพูดติดอ่าง

อาการพูดติดอ่างสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม โรคต่างๆ การเลี้ยงดู โดยปกติเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมักมีอาการนี้ได้ คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกินไปนัก ยกเว้นในกรณีเด็กพูดติดอ่างบ่อยและมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีการเคลื่อนไหวร่างกาย/ใบหน้าที่ผิดปกติ พบว่า 80% ของเด็กที่พูดติดอ่างมักจะหายได้เองเมื่อถึงวัยเข้าเรียน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยเหลือลูกติดอ่างให้หายจากอาการนี้ได้เร็วขึ้นด้วยวิธีต่อไปนี้

1. พุดคุยเล่นหัวกับลูก ให้ลูกรู้สึกมั่นใจในตัวเอง ผ่อนคลายไม่กังวล หรืออายกับการพูดติดอ่าง

2. จัดบรรยากาศชวนสนุกสนาน อาจมีภาพที่ลูกวาดเองใส่กรอบโชว์ มีตุ๊กตา หรือมุมหนังสือโปรดของลูก ไม่ควรมีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจของลูก เช่น ทีวี เกมคอมพิวเตอร์ เปิดเพลงเสียงดัง ฯลฯ ขณะทำกิจกรรมร่วมกับลูก

3. ไม่ขัดจังหวะเมื่อลูกยังพูดไม่จบประโยค ตั้งใจฟังและมองลูกด้วยสายตากระตือรือร้น ไม่แสดงความรู้สึกว่าต้องอดทนฟังหรือเบื่อหน่าย

4. ชวนลูกร้องเพลงด้วยกัน ควรเป็นเพลงจังหวะปานกลาง ฟังสบาย ไม่เร็วเกินไป จะช่วยให้ลูกสงบ มีสมาธิที่จะใช้พูดมากขึ้น

5. หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดหรือไม่มั่นใจ เช่น ให้ลูกพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น

ที่สำคัญที่สุดคือ ความรักความอบอุ่นของคุณพ่อคุณแม่ที่มอบให้จะทำให้ลูกมั่นใจมากขึ้นและมีพัฒนาการที่ดีสมวัย อาการพูดติดอ่างก็จะค่อยๆ หายไปได้ค่ะ


เก่งจัง ตัวเรา

หนังสือภาพพร้อมเพลง เรียนรู้ประโยชน์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตามีไว้ดู หู มีไว้ฟังส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย การเคลื่อนไหว  การทรงตัว และทักษะทางภาษาอย่างสนุกสนาน  ผ่านคำคล้องจองที่สามารถร้องเป็นเพลงแสนสนุก

5 วิธีแก้ปัญหาลูกถูกเพื่อนแกล้งในโรงเรียน

5 วิธีแก้ปัญหาลูกถูกเพื่อนแกล้งในโรงเรียน

 5 วิธีแก้ปัญหาลูกถูกเพื่อนแกล้งที่โรงเรียน

เด็ก ๆ กับการเล่นซนเป็นของคู่กันค่ะ โดยเฉพาะการเล่นสนุกกับเพื่อนที่โรงเรียน แต่บางคนอาจเล่นรุนแรงจนเจ็บตัวกลับมาบ้าน พ่อแม่ทนไม่ได้ ต้องเข้าไปเอาเรื่องคู่กรณี โกรธแทน ซึ่งวิธีดังกล่าวไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง  เราลองมาดูวิธีแก้ปัญหากันค่ะ

1. สอนให้ลูกปกป้องตนเอง ไม่ใช่การตอบโต้รุนแรง แต่ให้รู้จักระวังตัว มีความเชื่อมั่น กล้าบอกความรู้สึกของตนเอง เช่น บอกเพื่อนที่แกล้งว่าเล่นแบบนี้เราไม่ชอบ หรือให้เดินหนี ไปเล่นกับคนอื่น

2. สอนทักษะทางสังคมให้ลูก ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เช่น ถ้าลูกเล่นตามกติกาเพื่อนก็อยากเล่นด้วย ถ้าลูกรู้จักแบ่งปัน ให้อภัย ใครๆ ก็อยากเป็นเพื่อนกับลูก ถ้าลูกชอบรังแกคนอื่น ก็ไม่มีใครอยากคบ และสิ่งที่ลูกทำก็จะติดตัวไปจนโต

3. สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเสียก่อน พ่อแม่อย่าเพิ่งเชื่อเรื่องที่ลูกเล่ามาทั้งหมด เพราะบางครั้งเด็กอาจไม่พูดความจริงเพราะกลัวถูกดุ พ่อแม่อย่าเพิ่งโมโหหรือเจ็บแค้นแทนลูก แต่ควรตั้งสติ รับฟังและคิดหาทางแก้ปัญหา

4. ปรึกษาครูประจำชั้น แต่ไม่ควรไปทำร้ายคู่กรณีของลูก หรือเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของเด็กคนนั้นโดยตรง เพราะจะกลายเป็นเรื่องผู้ใหญ่ทะเลาะกัน อาจจะให้ครูช่วยหาสาเหตุ เช่น ที่บ้านมีปัญหา ถูกทำร้าย หรือขาดความรัก จึงอยากเรียกร้องความสนใจ บางคนอาจจะเคยโดนผู้ใหญ่แกล้งจึงเก็บกด เมื่อไปโรงเรียนจึงแกล้งเพื่อนที่อ่อนแอกว่า

5. สอนลูกให้รู้จักยอมรับและขอโทษ กรณีที่ลูกไปทำร้ายคนอื่นก่อน และอธิบายว่าการแกล้งหรือทำร้ายเพื่อนเกิดผลเสียทั้งต่อตนเองและเพื่อนอย่างไร   

เด็กที่ชอบทำร้ายคนอื่น ถ้าพ่อแม่ไม่ดูแลจะส่งผลให้เด็กมีแนวโน้มกลายเป็นคนเกเรได้ง่าย ส่วนเด็กที่ถูกเพื่อนแกล้งอยู่เสมอก็อาจจะกลายเป็นคนไม่กล้าสู้ปัญหา กลัวทุกสิ่งอย่างหรือเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นตรงกันข้าม เช่น ชอบข่มคนอื่น หรือหาวิธีแก้แค้นเมื่อมีโอกาสก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อลูกเริ่มมีพฤติกรรมไม่น่ารักเช่นนี้ พ่อแม่ต้องรีบเข้ามาดูแลใกล้ชิดทันที จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ง่ายขึ้น

ปิงปิง ชุด Stop bullying

การถูกกลั่นแกล้ง รังแก (Bully) ในเด็กเล็ก เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรเข้าไปดูแลช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย หรือการใช้คำพูดทำร้ายความรู้สึก เพราะจะส่งผลต่อพัฒนาการที่ถดถอย บางครั้งก็มาจากผู้ใหญ่ ใกล้ตัวเด็ก ที่ชอบล้อชอบแกล้งด้วยเอ็นดู แต่หารู้ไม่ว่า พฤติกรรมเหล่านี้ อาจกระทบจิตใจเด็ก นิทานภาพคำกลอนชุดนี้ ช่วยสอนวิธีป้องกัน เตรียมความคิดและ เคารพสิทธิ์ระหว่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่พ่อแม่ควรปลูกฝังตั้งแต่ลูกยังเล็กในชุดมี 4 เล่ม

ป๋องแป๋งแกล้งเพื่อน

นิทานภาพคำกลอน  ช่วยในการปรับพฤติกรรมลูกที่ก้าวร้าวชอบใช้ความรุนแรง ให้รู้จักการควบคุมอารมณ์ตนเอง รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยหลีกเลี่ยงการลงโทษที่รุนแรง

5 เทคนิคเตรียมลูกสอบเข้าสาธิต

5 เทคนิคเตรียมลูกสอบเข้าสาธิต

ผู้ปกครองส่วนใหญ่คาดหวังให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนดีๆ  มีชื่อเสียง และโรงเรียนสาธิต คือเป้าหมายหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกได้เข้าเรียน จึงทำให้สนามสอบโรงเรียนสาธิตมีการแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้นทุกปี เพราะคู่แข่งเก่งๆ มีจำนวนมาก เด็กที่มีความรู้และความพร้อมมากกว่าคนอื่นย่อมได้เปรียบ การเตรียมตัวลูกให้พร้อมจึงสำคัญมาก คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้ดังนี้ค่ะ      

1. ชวนลูกฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ  เพื่อสร้างความคุ้นเคย พ่อแม่มีส่วนอย่างมากกับการเตรียมตัวลูก แต่อย่าฝืนจนลูกรู้สึกไม่สนุกและไม่อยากทำ ควรแบ่งเวลาให้เหมาะสม เช่น วันธรรมดาหลังเลิกเรียน วันหยุดในช่วงเช้า เริ่มจาก 15 นาทีก่อน แล้วจึงเพิ่มเวลามากขึ้นตามสมาธิของเด็ก  อย่าประมาท เรื่องที่เคยสอนแล้ว ต้องหมั่นนำมาทบทวนเสมอ

2. ศึกษาแนวข้อสอบของปีที่ผ่านมา  สามารถหาจากเว็บไซต์หรือหนังสือแบบฝึกหัดที่มีพิมพ์จำหน่าย

3. ชวนลูกเข้าร้านหนังสือ ให้เขาเลือกหนังสือที่ชอบด้วยตัวเอง เพื่อสร้างพื้นฐานเรื่องการอ่านและการฟังอย่างเป็นระบบ

4. เตรียมร่างกายให้แข็งแรง  ดูแลเรื่องอาหารการกิน และการพักผ่อนให้เพียงพอ      

5. สร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้  ชมเมื่อลูกทำได้และให้กำลังใจยามลูกยังทำโจทย์ที่ยากยังไม่ได้  

สุดท้ายไม่ว่าผลสอบจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ไม่ใช่สิ่งตัดสินชี้วัดอนาคตทั้งหมดของลูกได้  พ่อแม่ควรสร้างความมั่นใจให้ลูกรู้สึกสบายใจ ไม่กดดันว่า เมื่อลูกตั้งใจทำอย่างเต็มที่นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่ภูมิใจที่สุดแล้วแม้จะสอบไม่ผ่านก็ตาม และเป็นโอกาสทำให้ลูกได้ทบทวนความรู้อีกด้วย

 

ป๋องแป๋ง ชุดฝึกเชาวน์

Activity Books นิทานเด็กอนุบาลชุดนี้ ฝึกความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียน พัฒนาทักษะความคิดและเชาว์ปัญญา พร้อมกิจกรรมท้าทายสมองหลากหลายรูปแบบ นิทานพัฒนา IQ และทักษะEF

วิธีฝึกลูกขับถ่ายง่ายๆ

วิธีฝึกลูกขับถ่ายง่ายๆ

หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดของลูกวัยก่อน 3 ขวบ คือ “ขับถ่ายเองได้” การฝึกลูกนั่งกระโถนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆในการสอนลูกวัยนี้ มาดูวิธีง่ายๆ แบบคุณแม่มืออาชีพกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

1. บอกลูกว่า “ถ้ารู้สึกมีอะไรตุงๆ ที่ก้นให้บอกแม่ทันทีนะจ๊ะ”

2. พาลูกไปนั่งเล่นบนกระโถนให้คุ้นหรือนั่งฟังนิทานไปด้วยก็ได้

3. สังเกตว่าลูกมักจะอึเมื่อไหร่

4. เมื่อถึงเวลาก็พาไปนั่งเล่นบนกระโถน

5. ช่วยลูกถอดกางเกง เด็กวัยนี้อาจยังถอดเองไม่เป็น

6. ทำเช่นนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตร

7. ให้ชมลูกทุกครั้งที่นั่งบนกระโถนเป็น จะช่วยให้ลูกมีกำลังใจ อยากทำอีกเรื่อยๆ

 

หากลูกสามารถขับถ่ายเองได้ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญของเด็กวัยก่อนเข้าเรียน การฝึกให้ลูกคุ้นเคยกับการใช้ห้องน้ำและนั่งกระโถนเป็นประจำจึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความใส่ใจ

นอกจากวิธีการฝึกลูกนั่งกระโถนที่กล่าวมาแล้ว การเล่านิทานให้ลูกฟังขณะนั่งกระโถนก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินไปกับการนั่งกระโถนมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกนิทานที่มีเนื้อหาสนุกสนาน เหมาะสมกับวัย และใช้เวลาในการเล่าไม่นานจนเกินไป

การเล่านิทานจะช่วยให้ลูกนั่งกระโถนนานขึ้นโดยไม่รู้สึกเบื่อหรืออยากลุกหนีไปทำกิจกรรมอย่างอื่น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมทักษะการฟัง จินตนาการ และพัฒนาการทางภาษาของลูกไปในตัวด้วย

นิทานที่เหมาะสำหรับเด็กวัยนี้ อาจเป็นเรื่องราวของตัวการ์ตูนที่ลูกชื่นชอบ นิทานคลาสสิกสอนใจสั้นๆ หรือแม้แต่เรื่องราวชีวิตประจำวัน เช่น กิจวัตรต่างๆ ของลูกเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ลูกสนุกแล้ว ยังทำให้ลูกมองเห็นตัวเองในนิทาน เข้าใจและซึมซับสิ่งดีๆ จากนิทานไปพร้อมกันด้วย

นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจใช้นิทานเสริมในการอธิบายให้ลูกเข้าใจเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการขับถ่าย เช่น ทำไมเราต้องนั่งกระโถน ทำไมต้องราดน้ำทุกครั้งหลังใช้ ฯลฯ โดยใช้ภาษาง่ายๆ เข้าใจได้ เพื่อให้ลูกรู้สึกคุ้นเคย และเรียนรู้วิธีการใช้ห้องน้ำอย่างถูกวิธีผ่านนิทานโดยไม่รู้ตัว

การฝึกลูกนั่งกระโถนและการอ่านนิทานควรเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เป็นธรรมชาติ ไม่ควรบังคับหรือกดดันลูกจนเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความเครียดและไม่อยากเข้าห้องน้ำในที่สุด การให้กำลังใจ ชมเชย และความเข้าใจของคุณพ่อคุณแม่จะช่วยให้ลูกมั่นใจและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น จนเป็นเด็กที่สามารถเข้าห้องน้ำได้เองอย่างคล่องแคล่วในที่สุดค่ะ




อุ๊ยอึ๊โอโฮ
หนังสือภาพพร้อมเพลง ปลูกฝังสุขนิสัยที่ดีในการขับถ่ายและการใช้กระโถน การเบ่ง ส่งเสริมทักษะทางภาษา ผ่านคำคล้องจองที่สามารถร้องเป็นเพลงแสนสนุก หนังสือเด็ก 0-6 ปี

ป๋องแป๋งอึไม่ออก
นิทานภาพคำกลอน ฝึกนิสัยลูกในการขับถ่าย รวมถึงการกินผักผลไม้ อาหารที่มีกากใย ดื่มน้ำให้เพียงพอ อุจจาระจะได้ไม่แข็งและถ่ายลำบาก

4 เทคนิคทำอย่างไรให้ลูกอยู่นิ่ง

4 เทคนิคทำอย่างไรให้ลูกอยู่นิ่ง

การห้ามเด็กเล็กไม่ให้ซุกซนคงทำไม่ได้ (และไม่ควรทำอย่างยิ่ง) เพราะธรรมชาติของเด็กมักจะอยากรู้ อยากเห็น อยากลองทำ (ในสิ่งที่ผู้ใหญ่ห้าม ) สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว เด็กบางคนซนจนได้เรื่อง อยู่ในห้องเรียนก็ก่อกวนเพื่อน ส่งเสียงดัง บางคนเล่นแรงกับเพื่อน กลายเป็นเด็กมีปัญหาการเข้าสังคม ไม่มีเพื่อนอยากเล่นด้วย  ถ้าอยากให้ลูกอยู่นิ่ง เชื่อฟังคำสั่ง คุณพ่อคุณแม่ลองทำตามวิธีเหล่านี้ได้ 

1. กำหนดเวลาเล่นให้ชัดเจน ว่าเวลาไหนเล่นได้ เวลาไหนต้องสำรวม เช่น อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ หรืออยู่นอกบ้าน ถ้าลูกทำได้ตามข้อตกลง พ่อแม่ควรพูดชมเชยให้กำลังใจ  “วันนี้ลูกทำตัวน่ารัก แม่ภูมิใจในตัวหนูมากนะจ๊ะ”  โอบกอด  ปรบมือ ชูนิ้วโป้ง (ลูกเยี่ยมมาก) เด็กจะรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องดีแล้ว

2. ตั้งกติกาถ้าทำผิดจะเกิดอะไรขึ้น ตักเตือนก่อนในครั้งแรก หากลูกยังทำผิดซ้ำอาจลงโทษด้วยการงดกิจกรรมที่ลูกชอบ เช่น ดูการ์ตูน  เล่นของเล่น

3. ฝึกสมาธิผ่านการเล่น เช่น ต่อบล็อกไม้ ปริศนาอักษรไขว้ เล่นเกมจับผิดภาพ เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ฝึกสมาธิให้จดจ่อ หรือหากิจกรรมกลางแจ้งที่ได้ออกแรง เช่น วิ่ง ปั่นจักรยานกระโดดเชือก เป็นต้น

4. พูดคุยด้วยเหตุผลกับลูกอย่างใจเย็น ไม่ใช้อารมณ์หรือลงโทษรุนแรง เมื่อลูกซนหรือไม่อยู่นิ่ง พยายามชี้ชวนอธิบายอย่างง่ายๆ  ถึงผลเสียที่ลูกเล่นซนว่าจะเกิดอะไรบ้าง ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ความซุกซนเป็นธรรมชาติของเด็กที่อยากเรียนรู้  คุณพ่อคุณแม่อาจยืดหยุ่นบ้างตามสมควร แต่ก็ไม่ควรห้ามทุกเรื่อง เพราะอาจทำให้เด็กสูญเสียความกระตือรือร้นขาดจินตนาการ ขาดความมั่นใจได้

—————————————————————–

ปิงปิงไม่ซนอีกแล้ว

อ่านบทความดีๆ ที่ช่วยในการเลี้ยงลูก ได้ทางเว็บไซต์ www.passeducation.com

(ขอบคุณภาพประกอบจาก freepik.com)

4 เทคนิคสอนธรรมะให้เด็ก

4 เทคนิคสอนธรรมะให้เด็ก

“ธรรมะ” อาจจะดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเด็กๆ แค่พูดถึงการเข้าวัด ทำบุญ สวดมนต์ ก็ฟังดูน่าเบื่อแล้ว เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้อยากเข้าวัดเพราะอยากสงบจิตใจหรืออยากได้ความรู้เหมือนผู้ใหญ่ การจะปลูกฝังให้เด็กใกล้ชิดกับธรรมะ พ่อแม่ควรหาเทคนิคดีๆ มาใช้กันค่ะ

1. สอนด้วยการกระทำของพ่อแม่ เช่น พาลูกสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน พาตักบาตรเมื่อมีโอกาส ชวนฟังซีดีธรรมะ เพลงธรรมะระหว่างนั่งรถ เมื่อเด็กได้ยินได้ฟังทุกวันจะซึมซับไปเอง และไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียด

2. ใช้หนังสือเป็นตัวช่วย โดยสร้างบรรยากาศที่บ้านให้มีหนังสือธรรมะ การ์ตูนธรรมะเพราะเด็กๆ ชอบการ์ตูน ไม่ต้องสนใจเรื่องหลักการหรือศัพท์เฉพาะที่ยากเกินไป พ่อแม่เล่านิทานชาดกด้วยภาษาง่ายๆ ก่อนนอน เช่น ทศชาติชาดก

3. สอนศีลห้า  ผ่านกิจวัตรประจำวัน เช่น สอนลูกไม่ให้รังแกสัตว์  ไม่หยิบฉวยของคนอื่น  ไม่พูดโกหก  รู้จักยับยั้งชั่งใจ มีสติ รู้จักแบ่งปัน มีเมตตาต่อผู้อื่น โดยยกตัวอย่างสถานการณ์จริง หรือข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้เด็กเชื่อมโยงหลักธรรมได้ โดยมีพ่อแม่เป็นต้นแบบที่ดี

4. ไม่บังคับให้ลูกสนใจธรรมะ การสอนธรรมะให้เด็กเล็กไม่ได้หมายถึงการให้นั่งสมาธิ เพราะเด็กยังไม่เข้าใจ เดี๋ยวจะกลายเป็นการบังคับและเด็กเกิดการต่อต้าน

ธรรมะคือสิ่งที่ปลูกฝังได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก พ่อแม่ที่คิดดี ย่อมถ่ายทอดสิ่งดีๆ ให้ลูก เมื่อลูกทำตัวดี พ่อแม่ควรชื่นชมเพื่อให้เขาเกิดความภูมิใจ เมื่อเด็กๆ มีธรรมะเป็นเกราะป้องกัน เขาจะรู้จักการวางตัวที่เหมาะสม ไม่ฟุ้งเฟ้อ และรับมือกับสิ่งยั่วยุได้ในอนาคต